วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Hackerที่มีชื่อเสียงในโลก 20 คน

....................................................>>>> Hacker คืออะไร <<<<...................................................
Hacker ก็คือ ผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจในระบบคอมพิวเตอร์อย่างสูงมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเครือข่าย , ระบบปฏิบัติการ หรือ เรื่องของทางจิตวิทยาเองก็ตาม พวกเขามีความรู้ทางด้านนี้สูงมากซะจน สามารถเข้าใจว่า มันมีช่องโหว่ตรงไหน หรือสามารถไปค้นหาช่องโหว่ได้จากตรงไหนบ้าง เมื่อก่อนภาพลักษณ์ของ Hacker จะเป็นพวกชั่วร้าย ชอบขโมยข้อมูล หรือ ทำลายให้เสียหาย แต่เดี๋ยวนี้ คำว่า Hacker หมายถึง Security Professional ที่คอยใช้ความสามารถช่วยตรวจตราระบบ และแจ้งเจ้าของระบบว่ามีช่องโหว่ตรงไหนบ้าง พูดง่ายๆว่า มีจริยธรรมในความเป็น Hacker นั่นเอง ในต่างประเทศมีวิชาที่สอนถึงการเป็น Ethical Hacker (แฮกเกอร์แบบมีจริยธรรม) กันเลยทีเดียว ซึ่งแฮกเกอร์แบบนี้เรียกอีกอย่างว่า White-Hat Hacker ก็ได้ เปรียบเสมือน ฝ่าย เจได ใน Star War ครับ แล้วพวกที่นิสัยไม่ดีล่ะจะเรียกว่าอะไร พวกนี้เรียกว่า Cracker สรุปง่ายๆก็คือ มีความสามารถเหมือน Hacker ทุกประการ แต่ขาดเรื่องจริยธรรมไปอย่างเดียว คนพวกนี้ มีความสามารถสูงแต่ความรู้สึกอยากเอาชนะก็สูงไปด้วย จึงชอบที่จะทำชื่อเสียโด่งดังด้วยการไป Hack โน่นนี่ แล้วสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านทั้งแบบรู้ตัว และ ไม่รู้ตัว เปรียบได้กับพวก Sith (ฝ่ายมืด) ในเรื่อง Star War แหละครับ แต่ก็ต้องขอนับถือบรรหา Black-Hat ทั้งหลายที่เก่งฉกาจ คิดค้นวิธี Hack มหาพระกาฬออกมาทำให้วงการ Security ต้องตื่นตัวมากๆตามไปด้วย แต่ก็ยังมีอีกพวกนึงที่ก่อความน่ารำคาญได้มาก นั่นก็คือพวก Script-Kiddies ครับScript-Kiddied แปลตรงๆตัวก็คือ พวกนี้โชคดีได้ ดาบ Light-Saber มาในมือ ก็เลยเอาไปหาเรื่องชาวบ้าน เปรียบเสมือนโจรมุมตึก ที่มีของนิดหน่อยก็นึกว่าตัวเองเจ๋ง แต่ที่จริงเป็นแค่หนอนแมลงชั้นต่ำของวงการที่ทำให้วงการ Hacker ชื่อเสีย อยู่ทุกวันนี้ คนพวกนี้จะมีความรู้แค่หางอึ่ง แต่ไปโหลดโปรแกรมที่พวก Hacker เค้าใช้งานกันมาใช้เองบ้าง ซึ่งในวงการ Hacker มีพวกนี้อยู่กว่า 95% เลยทีเดียว เปรียบได้กับพวกตัวประกอบเกรดบีใน Star War ที่โดนเลเซอร์ยิงทีเดียวก็ตาย ตำนาน  Hacker ระดับโลกวงการคอมพิวเตอร์อยู่คู่โลกนี้มาประมาณ 50 กว่าปีแล้ว มาลองดูกันว่า Hacker ระดับโลกเค้าเป็นใครและเดี๋ยวนี้เค้าเป็นยังไงกันบ้าง

1.Robert Tappan Morris

สิ่งที่น่าสนใจ-ชื่อในวงการของเขาคือ rtm และเป็นลูกชายของหัวหน้านักวิทยาศาสตร์ใน National Computer Security Center NSA(National Security Agency–ดิฉันมักจะแอบบเรียกชื่อเล่นของหน่วยงานนี่ว่า No Such Agency อยู่บ่อยๆตามหนังสือของ Dan Brown อิอิอิ) ว่ากันว่า เครื่องมือที่เค้าใช้สมัยเป็นวัยรุ่นก็คือ แอคเคาทน์ SuperUser ของ Belle Lab
ผลงานเด่น-เขาเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ที่สร้าง worm ขึ้นมาเป็นคนแรกของโลก สาเหตุทำขึ้นมาก็ไม่มีอะไรมาก ย้อนกลับไปในช่วงปี 1988 มอริสที่กำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัย Cornell อยู่มาวันหนึ่ง เค้าเกิดอยากรู้ขึ้นมาว่า ระบบอินเตอร์เน็ตมีขนาดกว้างใหญ่แค่ไหนก็เลยสร้างเจ้า worm ขึ้นมา(ปัจจุบันมันถูกเรียกว่า MorrisWorm)แล้วปล่อยออกไปในระบบเพื่อศึกษาขนาดของระบบ แต่ปรากฎว่าเจ้า worm นี่เกิด replicate ตัวเองขึ้นมาอย่างรวดเร็วทำให้ระบบต่างๆในเครื่องคอมพิวเตอร์กว่า 6,000 เครื่องทั่วโลกเจ๊งไปซะงั้น
ปัจจุบัน-หลังจากได้รับการลงโทษไปแล้ว เค้าก็เรียนจนได้ Ph.D จาก Harvard และตอนนี้เป็นอาจารย์สอนอยู่ที่ MIT
2.Kevin Mitnick

สิ่งที่น่าสนใจ-ชื่อในวงการคือ Condor เริ่มงานมาตั้งแต่อายุ10 ขวบ โดยการ crack เว็บไซต์ North American Aerospace Defence Command พออายุ 12ก็จาะระบบ Punch Card ของ Los Angeles BusSystem ทำให้เขาสามารถขึ้นรถเมล์ได้ฟรี และเจาะเข้าไปในระบบโทรศัพท์ด้วย
ผลงานเด่น-เขาเริ่มเป็นที่ต้องการตัวของทางการเมื่อริอ่านเจาะเข้าไปในระบบของ Digital Equibment Corperation เพื่อขโมย software และมีเป้าหมายที่จะเจาะเข้าไปในระบบของบริษัทเคลื่อนที่ยักษ์ใหญ่ อย่าง Nokia และ Motorolla
สาเหตุที่ถูกจับ– hack เข้าไปในเครื่องของ Tsutomu Shiomura ทำให้ Shiomura เข้าร่วมมือกับ FBI ในการตามจับตัวเค้าจนทำให้ Shiomura กลายเป็นอีกหนึ่งตำนาน White hat ในฝั่งเอเชีย
ปัจจุบัน-เขียนหนังสือเกี่ยวกับ hacker และเป็นที่ปรึกษาในด้านระบบควมปลอดภัยด้านคอมพิวเตอร์ให้กับบริษัทต่างๆ
3.Adrian Lamo

สิ่งที่น่าสนใจ-เป็นที่รู้จักกันในชื่อ ‘The homeless hacker’ เพราะว่าเค้ามักจะอาศัยอยู่ในตึกร้างที่ไม่มีใครสนใจ และมักจะแฮ็กระบบผ่านทาง laptop,อินเตอร์เน็ต คาเฟ่ และตามเครื่องคอมตามห้องสมุุดสาธารณะ
ผลงานเด่น-เจาะเข้าไปในระบบของ หนังสือ พิมพ์ The New York Times  และเอาชื่อตัวเองเข้าไปใส่ไว้ในแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ระดับสูงของหนังสือ พิมพ์ The New York Timesและใช้บัญชีของนักเขียนชื่อดัง LexisNexisในการค้นคว้างานวิจัยจากฐานข้อมูลของ The New York Times อีกด้วย นอกจากนี้ก็ยังมี Microsoft ,Yahoo , Bank of America และ CitiGroup
ปัจจุบัน-ทำงานเป็นนักข่าวและนักพูด เกี่ยวกับวงการ Hackerและพึ่งจะได้รับรางวัลนักข่าวยอดเยี่ยมมาไม่นานนี้เอง
4.Gary McKinnon -ชื่อในวงการ คือ Solo

ผลงาน-แฮ็กเข้าไปในระบบของ US Government ทั้ง U.S. Department of Defense,กลาโหม,นาวิกโยธิน และ นาซ่า เพื่อที่จะหาหลักฐานเกี่ยวกับ ประสิทธิภาพที่แท้จริงของเชื้อเพลิงในยานมนุษย์ต่างดาว!!!!
สิ่งที่น่าสนใจ-แม็คคินนอนเชื่อว่าสหรัฐอเมริกาได้ซ่อนความลับเกี่ยวกับเทคโนโลยีของมนุษย์ต่างดาวไว้ ซึ่งเทคโนโลยีนั้นสามารถช่วยแก้ปัญหาวิกฤตพลังงานของโลกได้ .เขาบอกว่าได้ทะลุทะลวงไปจนพบโครงการที่นำ เทคโนโลยีจากมนุษย์ต่างดาวมาใช้จริง อีกทั้งเขายังพบข้อมูลนักวิทยาศาสตร์รายหนึ่งของนาซาที่รายงานว่าศูนย์อวกาศ จอห์นสัน มีอุปกรณ์บันทึกภาพถ่ายดาวเทียมความละเอียดสูง เอาไว้คอยจับภาพยูเอฟโอหลังจากพบร่องรอยบนท้องฟ้า ซึ่งแม็คคินนอนก็จัดการล้วงข้อมูลเป็นที่เรียบร้อย แม็คคินนอนอ้างว่า สิ่งที่เค้าเห็นน่าจะเป็นดาวเทียมหรือไม่ก็ยาน อวกาศ แต่ลักษณะแบบนั้นไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนมันเหมือนกับชิ้นเหล็กท่อนใหญ่ที่ ไม่มีตำหนิใดๆ เลย และน่าจะอยู่ใต้ผืนโลก อีกทั้งไม่มีรอยต่อของวัตถุหรือหมุดยึดตัววัตถุแต่อย่างใด
นอกจากนี้เค้ายังได้พูดอีกว่า  การแฮกกิงของเขานั้นทำไปตามหลัก มนุษยธรรม เพื่อต้องการหาหลักฐานเกี่ยวกับยูเอฟโอที่ถูกปกปิดไว้  และนำมาเผยแพร่สู่สาธารณชน
5.Raphael Gray -ชื่อในวงการ Curador

ผลงาน-เจาะเข้าไปใน เว็บไซต์ e-commerce ต่างๆแล้วขโมยข้อมูลหมายเลขบัตรเครดิตของลูกค้ามากว่า 26,000 หมายเลข แล้วโพสต์ขึ้นบนเว็บเพจของตนเอง
สิ่งที่น่าสนใจ-เกรย์เรียกตัวเองว่า The saint(of e-commerce) เขาอ้างว่าการที่แฮ็กเข้าไปในเว็บไซต์เหล่นั้นก็เพื่อที่จะให้การช่วยเหลือเว็บต่างๆเหล่านั้น(ช่วยยังไงมิทราบยะ)  และนอกจากนี้หนึ่งในหมายเลขบัตรเครดิตที่เขาขโมยมาก็เป็นของคนดังในโลกของไอที ที่มีชื่อว่า บิล เกตต์ และเกรย์ก็ได้จัดการส่งยาเม็ดไวอากร้า(!?!) ไปยังที่อยู่ของบิล เกตต์และนำมาโพสต์ลงบนเว็บไซต์อีกต่างหาก (แสบจริงๆ)
6.John Draper–มีนามแฝงว่า Cap’n Crunch

ผลงาน-ในช่วง ทศวรรษ 1970 เขาได้ชื่อว่าเป็นราชาแห่งการ crack โทรศัพท์(phone phreaking) เพราะในขณะนั้น ยังเป็นยุคที่ยังไม่มีอินเตอร์เน็ตและ PC ระบบที่ถือว่าใหญ่ที่สุดก็คือระบบโทรศัพท์และ Draper ก็ถือว่าเป็นเทพในด้านนี้
สิ่งที่น่าสนใจ-อุปกรณ์ที่ใช้ในการ crack โทรศัพท์ของDraper คือ หลอดพลาสติกที่อยู่ในกล่องซีเรียล(!?!)–ซึ่งก็คือข้าวโพดเกล็ดที่เรากินกับนมนี่ล่ะ จากยี่ห้อ Cap’n Crunch cereal พลาสติกอันที่เค้าใช้เรียกว่า whistle หรือเครื่องเป่า ซึ่งจะทำให้เกิดคลื่นเสียงขนาด 2600 Hz ร่วมกับใช้ Bluebox ทำให้เค้าสามารถโทรศัพท์ได้ฟรี (ช่างคิดจริงๆ)
แถมๆ หน้าตาของซีเรียลยี่ห้อ Cap’n Crunch ฮ่าๆๆ อยากโพสต์ให้ดูเพราะดิฉันว่ากล่องมันน่ารักดีอ่ะ ^_^7.Kevin Poulsen –ชื่อในวงการคือ  Dark Dante

ผลงาน-บุกรุกเข้าเว็บไซต์แทบทุกประเภท ที่เด่นๆก็คือ เจาะระบบฐานข้อมูลและระบบดักฟังของของ FBI
สิ่งที่น่าสนใจ-เค้าเคยใช้ความสามารถพิเศษในการควบคุมระบบโทรศัพท์ของ Pacific Bellได้ เจาะเข้าไปในระบบโทรศัพท์ของสถานีวิทยุ KIIS-FM ใน LA ทำให้เค้าชนะการเล่นเกมส์และได้รางวัลมาเป็นรถ Porche!!! เอามาขับเล่นสบายใจพี่เค้าไป
ปัจจุบัน-เป็น นักข่าวอาวุโสของสำนักข่าว Wired Newsและคอยช่วยเหลือในการไล่จับพวก BlackHat คนอื่นๆ
8.Dmitri Galushkevich
ผลงาน-เป็นhacker ชาวรัสเซียที่อาศัยอยู่ในเอสโทเนีย เค้ารู้สึกผิดหวังจากการที่อนุสาวรีย์บรอนซ์ของทหารรัสเซียที่เสียชีวิตในเอสโทเนียในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองถูกย้ายที่ เลยทำhack เข้าไปโจมตีระบบของ รัฐบาล,พรรคการเมืองต่างๆ,หนังสือพิมพ์ และสถาบันเศรษฐกิจ ทำให้ทั้งประเทศตกอยู่ในสภาพ “internet gridlock”–คือทั้ง ATM,เว็บไซต์ และระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐบาลอยู่ในสภาพที่ใช้การไม่ได้ แถมบางเว็บก็รีไดเร็คไปยังภาพของทหารโซเวียต และอ้างอิงถึง Martin Luther King เกี่ยวกับการ “ต่อต้านสิ่งชั่วร้าย”อีกต่างหาก
9.Jonathan James -ชื่อในวงการ คือ c0mrade

ผลงาน-เจาะระบบมากมาย ตั้งแต่บริษัทโทรศัพท์ BellSouthไปจนถึงหน่วยงาน DTRA ในกระทรวงกลาโหมสหรัฐ และที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในปี 1999 เขาได้ Hack เข้าไปฝังตัว Backdoor ใน Nasaซึ่งทำให้อ่านข้อมูลลับได้มากมายรวมไปถึงขโมยโปรแกรมที่ทาง Nasaพัฒนาขึ้นด้วยเงินมหาศาลถึง 1.7 ล้านดอลล่าร์สหรัฐไปอีกด้วยซึ่งในภายหลังทาง Nasa ต้องปิดระบบถึงสามสัปดาห์เพื่อแก้ไขทำให้สูญเสียเงินไปอีก 41,000 ดอลล่าร์สหรัฐ
สิ่งที่น่าสนใจ-ตอนที่โดนจับ James มีอายุเพียง 15 ปี(!?!) และเค้าได้ให้การกับศาลว่าแค่อยากได้โปรแกรมมาเพื่อฝึกฝีมือภาษา C ของตัวเองเท่านั้นแต่พอขโมยมาได้ ก็กลับถามว่าโปรแกรมห่วยๆนั่นมีค่าถึง 1.7ล้านดอลล่าร์เลยเหรอ(ช่างกล้า)
10.The Deceptive Duo -หรือคู่หูจอมหลอกลวง ประกอบไปด้วยสมาชิก 2 คนคือ Benjamin Stark อายุ 20 c]t Robert Lyttle อายุ 18 ปี

ผลงาน-เจาะระบบของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ซึ่งรวมถึง นาวิกโยธิน,นาซา,FAA(ทบวงการบินพลเรือน)และ กระทรวงกลาโหม โดยพวกเค้าให้เหตุผลว่าที่ทำไปก็เพื่อเปิดเผยความล้มเหลวของระบบรักษาความปลอดภัย และต้องการปกป้องประเทศจากสงครามภายหลังเหตุการณ์ 911
นี่คือ 10  Hacker ระดับโลกที่ใช้ความรู้ของตนเองในการก่อความเสียหายให้กับระบบคอมพิวเตอร์ (แม้ว่าบางทีอาจจะเกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ?) แต่ก็ยังมี hacker อีกประเภทนึงที่ใช้ความรู้ในทางที่เป็นประโยชน์ ที่เราเรียกหันว่า พวก White hat ดังตัวอย่างต่อไปนี้
11.Tsutomu Shimomura ชาวญี่ปุ่น

ผลงาน-ร่วมมือกับ John Markoffในการช่วยเหลือ FBI ไล่จับสุดยอดแฮกเกอร์ของโลก นั่นก็คือ Kevin Mitnick
สิ่งที่น่าสนใจ-เขาเป็นลูกชายของ Osamu Shimomura นักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับรางวัลโนเบล สาขาเคมี(ปี 2008) นอกจากนี้เค้ายังได้เขียนหนังสือเรื่อง TakeDown เป็นเรื่องราวของการไล่จับ KevinMitnick ซึ่งต่อมาได้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง TakeDown ด้วย
12.Stephen Wozniak


สิ่งที่น่าสนใจ-เค้าคือผู้ที่ร่วมก่อตั้ง Apple Computer
ผลงาน-หลังจากที่ Wozniak อ่านบทความเรื่องการเจาะระบบโทรศัพท์ ในหนังสือ Esquire (ใช่ Esquire ที่เป็นหนังสือแฟชั่นของผู้ชายรึป่าว!?) เข้าหลังจากที่คุยกับ Steve Jobs พวกเขาก็ได้คิดค้น BlueBoxเครื่องเจาะระบบโทรศัพท์ที่ทำให้สามารถ โทรทางไกลได้ฟรีๆ เท่านั้นยังไม่พอ มีครั้งหนึ่ง Steve Wozniak ได้แอบใช้เครื่อง BlueBox โทรหาพระสันตปาปาโดยปลอมตัวว่าเป็น Henry Kissingerรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐในตอนนั้นอีกด้วย (ช่างกล้า)
13.Tim Berners-Lee


สิ่งที่น่าสนใจ-เค้าคนนี้คือผู้ที่ คิดค้น www ขึ้นมา Leeเป็นลูกของสองนักคณิตศาสตร์ระดับโลก Convey และ Mary Berners-Leeซึ่งเป็นทีมสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ Manchester Mark 1เครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นแรกๆของโลก     ในปี 2532 Tim Berners-Lee ทำงานเป็นFreeLance อยู่ที่ CERN (ศูนย์วิจัยเรื่องนิวเคลียร์ของยุโรป)ซึ่งเป็นเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่ใหญ่ ที่สุดของยุโรปเขาได้คิดค้นระบบข้อความหลายมิติ (Hypertext) ขึ้นมา ซึ่งเมื่อนำมาผนวกเข้ากับ TCP และ DNS แล้ว มันจึงกลายมาเป็นเครือข่าย www ในปัจจุบัน (เจ๋งจริงๆ)
ปล.เว็บไซต์แรกของโลกคือ Welcome to info.cern.ch สร้างขึ้นโดย Tim Berners-Lee คนนี้นี่เอง
ผลงานทางด้าน hacker-เค้าเคยถูกจับได้ว่า hack รหัสผ่าน(acess code)เมื่อตอนเรียนอยู่ Oxford จึงทำให้ถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัย(ซะอย่างนั้น)
14.Richard Stallman


ผลงาน-ตอนที่ทำ งานอยู่ที่ MIT ในฐานะของ StaffComputer ทุกครั้งที่มีระบบอะไรใหม่ๆติดตั้งเข้าไปและมีรหัสผ่านกำกับอยู่ Stallman จะหาทางแฮกและปลดรหัสผ่านออกทุกครั้ง เสร็จแล้วก็ hack Printerต่อเพื่อพิมพ์ข้อความบอกคนอื่นๆว่าระบบไหนอยู่ที่ไหนปลดรหัสผ่านอะไรไปแล้วบ้าง
สิ่งที่น่าสนใจ-ผู้ริเริ่มโครงการ GNU  และมูลนิธิซอฟท์แวร์เสรีรวมไปถึงผู้ริเริ่มแนวคิดเรื่อง Copyleft และเป็นผู้ร่างสัญญาอนุญาตให้ใช้ได้ทั่วไป และต่อในภายหลังสัญญานี้ได้กลายเป็น บรรทัดฐานซอฟท์แวร์เสรีจำนวนมาก 

15.Justin Tanner Peterson

สิ่งที่น่าสนใจรู้จักกันในนาม Agent Steal, Peterson อาจเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงอย่างมาก ในเรื่องการ crack บัตรเครดิต ดูเหมือน Peterson จะถูกชักจูงด้วยเงินแทนที่จะเป็นความอยากรู้อยากเห็น เพราะการขาดคุณธรรมประจำใจของเขาเองที่นำหายนะมาสู่เขาและผู้อื่น อย่างเช่น ครั้งหนึ่ง เมื่อเขาโดนจับ เขากลับทิ้งเพื่อนของเขา รวมทั้ง Kevin Poulsen เพื่อเจรจาต่อรองกับ FBI เพื่อที่จะเปิดโปง ทำให้เขาได้รับการปล่อยตัว ต่อมาภายหลังได้หนีไป และก่ออาชญากรรมเช่นเดิม

16.Vladimir Levin


สิ่งที่น่าสนใจ-จบการศึกษามาจาก St. Petersbrurg Tekhnologichesky University นักคณิตศาสตร์คนนี้มีประวัติไม่ค่อยดี จากการที่เข้าไปรวมกลุ่มกับ Cracker ชาวรัสเซียเพื่อทำการปล้น Citibank"s computers ได้เงินมา $10ล้าน

ถูกจับโดย- Interpol ที่ Heathrow Airport ในปี 1995 

17.Mark Abene

สิ่งที่น่าสนใจ-ที่รู้จักกันดีในนามของ Phiber Optik เขามีพรสวรรค์ในการเรียนรู้เกี่ยวกับระบบโทรศัพท์ค่อนข้างมาก มากเสียจนต้องเข้าไปอยู่ในคุกถึง 1 ปี เนื่องจากพยายามจะส่งข้อความให้เพื่อน Cracker ด้วยกัน แต่ข้อความนั้นโดนจับได้เสียก่อน เด็กคนนี้เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าวัยรุ่นมากเนื่องจากฉลาดและบุคลิกดี นิตยสาร New York และแมนฮัตตันคลับถึงกับจัดเขาให้เป็น 1 ใน 100 ของบุคคลที่ฉลาดที่สุดในเมือง เขาเป็นคนที่ชอบรับประทานมันฝรั่งบด (mashed potatoes) จากร้าน KFC เป็นที่สุด

ถูกจับ- เข้าไปอยู่ในคุกถึง 1 ปี 

18.Johan Helsingius 


สิ่งที่น่าสนใจ-มีนามแฝงว่า Julf เขาเป็นผู้จัดการของ Anonymous Remailer ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกเรียกว่า Penet.fi แต่ในที่สุดเขาก็ปิดกิจการลงในเดือนกันยายน ปี 1996 เนื่องจากตำรวจอ้างว่า Church of Scientology ได้รับความเสิยหายอันเกิดจากการมีคนนำความลับของพวกเขาไปเผยแพร่โดย ปกปิดตัวเองด้วยบริการของ Helsingius Remailer ที่เขาทำ ซึ่งดำเนินงานโดยคอมพิวเตอร์ 486 และ Harddisk 200Mb เพียงเท่านั้นเอง  

19.Onel De Guzman 

สิ่งที่น่าสนใจ- เป็นนักศึกษาทางด้านคอมพิวเตอร์โปรแกรมเมอร์ชาวฟิลิปปินส์ ที่ได้ดรอปเรียนในปีสุดท้ายหลังจากที่ได้ปฎิเสธไม่รับวิทยานิพนธ์ที่เขาได้แฮกมาจากอินเตอร์เน็ตมา หลังจากนั้นเขาและเพื่อนของเขาก็ได้สร้างไวรัสสุดอันตรายที่ชื่อ ILOVEYOU ที่ได้ทำการโจมตีระบบปฎิบัติการทั่วโลก ทำให้อีเมล์หลายพันล้านเสียหายไปทั้งโลก ในช่วงเวลานั้นยังไม่มีกฎหมายเอาผิด-เกี่ยวกับแฮกเกอร์ในประเทศฟิลิปปินส์ เพราะว่ายังไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะออกกฎหมายนี้ เขาและเพื่อนของเขาจึงไม่มีความผิดอะไร 

20.Linus Torvalds 

สิ่งที่น่าสนใจ-บิดาผู้ให้กำเนิด Linux ระบบปฏิบัติการ Unixที่คนนิยมกันมากที่สุดในโลกขณะนี้ ในปี 1991ขณะที่เขายังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย เฮลซิงกิ เขาได้สร้าง linux kernelขึ้นจากพื้นฐานของระบบปฏิบัติการ Minix ขึ้น หลังจากนั้นเขาก็รวบรวมสมัครพรรคพวกมาช่วยกันเขียนและช่วยกันพัฒนาต่อกันทาง อินเทอร์เน็ต โดยที่เขาเป็นคนรวบรวม ตรวจสอบและแจกจ่ายงานไปยังโปรแกรมเมอร์ต่างๆทั่วโลกรวมถึงแจกจ่ายให้คนช่วย กันเอาไปใช้ฟรีๆอีกด้วยจุดที่น่าสนใจของโครงการนี้ก็คือ ทุกคนที่มาร่วมทำนั้นทุกคนยินดีช่วยโดยไม่ได้ค่าตอบแทนแต่อย่างใด และมีเงื่อนไขต่อด้วยอีกว่าเมื่องานเสร็จแล้วจะต้องเผยแพร่ตัว Source Codeแก่สาธารณะโดยไม่คิดมูลค่าเช่นเดียวกันครับ?ทุกวันนี้ Linux Torvaldsทำงานอยู่ที่บริษัท Transmeta บริษัทที่ทำหน้าที่ออกแบบ CPUและยังคงดำรงตำแหน่ง ผู้นำของบรรดาผู้ใช้งานและพัฒนา Linux ทั้งโลกครับยิ่งไปกว่านั้น หนังสือ Times Magazine ได้ยกให้เค้าเป็นหนึ่งคนในหนังสือชื่อ 60 Years of Hero สุดยอด   

แหล่งที่มา


x

วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2558

งานบริการคอมพิวเตอร์

คอมพิวเตอร์ (computer) เข้ามามีบทบาทที่สำคัญยิ่งต่อสังคมของมนุษย์เราในปัจจุบัน แทบทุกวงการ ล้วนนำคอมพิวเตอร์เข้า ไปเกี่ยวข้องกับการใช้งาน จนกล่าวได้ว่า คอมพิวเตอร์เป็นปัจจัย ที่สำคัญอย่างยิ่งต่อ การดำเนินชีวิตและ การทำงานใน ชีวิตประจำวัน ฉะนั้น การเรียนรู้เพื่อทำ ความรู้จัก กับคอมพิวเตอร์จึงถือเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นเป็นอย่างยิ่ง เพื่อที่จะ ทราบว่าคอมพิวเตอร์คืออะไร ทำงานอย่างไร และมีความสำคัญต่อมนุษย์อย่างไร 


ความหมายของคอมพิวเตอร์



          คอมพิวเตอร์มาจากภาษาละตินว่า Computare ซึ่งหมายถึง การนับ หรือ การคำนวณ ดังนั้นถ้ากล่าวอย่างกว้าง ๆ เครื่องคำนวณที่มีส่วนประกอบเป็นเครื่องกลไกหรือเครื่องไฟฟ้า ต่างก็จัดเป็นคอมพิวเตอร์ได้ทั้งสิ้น ลูกคิดที่เคยใช้กันในร้านค้า ไม้บรรทัด คำนวณ (slide rule) ซึ่งถือเป็นเครื่องมือประจำตัววิศวกรในยุคยี่สิบปีก่อน หรือเครื่องคิดเลข ล้วนเป็นคอมพิวเตอร์ได้ทั้งหมด
          ในปัจจุบันความหมายของคอมพิวเตอร์จะระบุเฉพาะเจาะจง หมายถึงเครื่องคำนวณอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถทำงานคำนวณผลและเปรียบเทียบค่าตามชุดคำสั่งด้วยความเร็วสูงอย่างต่อเนื่องและอัตโนมัติ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ได้ให้คำจำกัดความของคอมพิวเตอร์ไว้ค่อนข้างกะทัดรัดว่าเครื่องอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติ ทำหน้าที่เสมือนสมองกล ใช้สำหรับแก้ปัญหาต่าง ๆ ทั้งที่ง่ายและซับซ้อน โดยวิธีทางคณิตศาสตร์
            คอมพิวเตอร์จึงเป็นเครื่องจักรอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ทำงานแทนมนุษย์ ในด้านการคิด คำนวณและสามารถจำข้อมูล ทั้งตัวเลข และ ตัวอักษรได้เพื่อการเรียกใช้งานในครั้งต่อไป นอกจากนียังสามารถจัดการกับสัญลักษณ์ได้ด้วยความเร็วสูง โดยปฏิบัติตามขั้นตอนของโปรแกรม คอมพิวเตอร์ยังมีความสามารถในด้านต่างๆ อีกมาก อาทิเช่น การเปรียบเทียบทางตรรกศาสตร์ การรับส่งข้อมูล การจัดเก็บข้อมูลในตัวเครื่องและสามารถประมวลผลจากข้อมูลต่างๆ ได้ 


โครงสร้างข้อมูล (Data Structure)

 ในการนำข้อมูลไปใช้นั้น เรามีระดับโครงสร้างของข้อมูลดังนี้
          บิต (Bit)  คือ ข้อมูลที่มีขนาดเล็กที่สุด เป็นข้อมูลที่เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจและนำไปใช้ งานได้ ซึ่งได้แก่ เลข 0 หรือ เลข 1 เท่านั้น
          ไบต์ (Byte) หรือ อักขระ (Character) ได้แก่ ตัวเลข หรือ ตัวอักษร หรือ สัญลักษณ์พิเศษ 1 ตัว เช่น 0, 1, …, 9, A, B, …, Z และเครื่องหมายต่างๆ ซึ่ง 1 ไบต์จะเท่ากับ 8 บิต หรือ ตัวอักขระ 1 ตัว เป็นต้น
          ฟิลด์ (Field) ได้แก่ ไบต์ หรือ อักขระตั้งแต่ 1 ตัวขึ้นไปรวมกันเป็นฟิลด์ เช่น เลขประจำตัว(ID) ชื่อพนักงาน(name) เป็นต้น
          เรคคอร์ด (Record) ได้แก่ ฟิลด์ตั้งแต่ 1 ฟิลด์ ขึ้นไป ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องรวมกันเป็นเรคคอร์ด เช่น ชื่อ นามสกุล เลขประจำตัว ยอดขาย ข้อมูลของพนักงาน 1 คน เป็น 1 เรคคอร์ด
          ไฟล์ (Files) หรือ แฟ้มข้อมู ได้แก่ เรคคอร์ดหลายๆ เรคคอร์ดรวมกัน ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกัน เช่น ข้อมูลของประวัติพนักงานแต่ละคนรวมกันทั้งหมดเป็นไฟล์หรือแฟ้มข้อมูลเกี่ยวกับประวัติพนักงานของบริษัท เป็นต้น
          ฐานข้อมูล (Database) คือ การเก็บรวบรวมไฟล์ข้อมูลหลายๆ ไฟล์ที่เกี่ยวข้องกันมารวมเข้าด้วยกัน เช่น ไฟล์ข้อมูลของแผนกต่างๆ มารวมกัน เป็นฐานข้อมูลของบริษัท เป็นต้น
การวัดขนาดข้อมูล
          ในการพิจารณาว่าข้อมูลใดมีขนาดมากน้อยเพียงไร เรามีหน่วยในการวัดขนาดของข้อมูลดังต่อไปนี้
8 Bit = 1 Byte 
1,024 Byte = 1 KB (กิโลไบต์) 
1,024 KB = 1 MB (เมกกะไบต์) 
1,024 MB = 1 GB (กิกะไบต์) 
1,024 GB = 1TB (เทระไบต์)


ประโยชน์ของคอมพิวเตอร์

         1.จากการที่คอมพิวเตอร์มีลักษณะเด่นหลายประการ ทำให้ถูกนำมาใช้ประโยชน์ต่อ การดำเนินชีวิตประจำวัน ในสังคมเป็นอย่างมาก ที่พบเห็นได้บ่อย ที่สุดก็คือ การใช้ในการพิมพ์เอกสารต่างๆ เช่น พิมพ์จดหมาย รายงาน เอกสารต่างๆ ซึ่งเรียกว่างานประมวลผล (word processing ) นอกจากนี้ยังมีการประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ในด้านต่างๆ อีกหลายด้าน ดังต่อไปนี้
        2.งานธุรกิจ เช่น บริษัท ร้านค้า ห้างสรรพสินค้า ตลอดจนโรงงานต่างๆ ใช้คอมพิวเตอร์ในการทำบัญชี งานประมวลคำ และติดต่อกับหน่วยงานภายนอกผ่านระบบโทรคมนาคม นอกจากนี้งานอุตสาหกรรม ส่วนใหญ่ก็ใช้คอมพิวเตอร์มา ช่วยในการควบคุมการผลิต และการประกอบชิ้นส่วนของอุปกรณ์ต่างๆ เช่น โรงงานประกอบรถยนต์ ซึ่งทำให้การ ผลิตมีคุณภาพดีขึ้นบริษัทยังสามารถรับ หรืองานธนาคาร ที่ให้บริการถอนเงินผ่านตู้ฝากถอนเงินอัตโนมัติ ( ATM ) และใช้คอมพิวเตอร์คิดดอกเบี้ยให้กับผู้ฝากเงิน และการโอนเงินระหว่างบัญชี เชื่อมโยงกันเป็นระบบเครือข่าย
        3.งานวิทยาศาสตร์ การแพทย์ และงานสาธารณสุข สามารถนำคอมพิวเตอร์มา ใช้ในนำมาใช้ในส่วน ของการ คำนวณที่ค่อนข้างซับซ้อน เช่น งานศึกษาโมเลกุลสารเคมี วิถีการโคจรของการส่งจรวดไปสู่อวกาศ หรืองานทะเบียน การเงิน สถิติ และเป็นอุปกรณ์สำหรับการตรวจรักษาโรคได้ ซึ่งจะให้ผลที่แม่นยำกว่าการตรวจด้วยวิธีเคมีแบบเดิม และให้การรักษาได้รวดเร็วขึ้น
        4.งานคมนาคมและสื่อสาร ในส่วนที่เกี่ยวกับการเดินทาง จะใช้คอมพิวเตอร์ในการจองวันเวลา ที่นั่ง ซึ่งมีการเชื่อมโยงไปยังทุกสถานีหรือทุกสายการบินได้ ทำให้สะดวกต่อผู้เดินทางที่ไม่ต้องเสียเวลารอ อีกทั้งยังใช้ในการควบคุมระบบการจราจร เช่น ไฟสัญญาณจราจร และ การจราจรทางอากาศ หรือในการสื่อสาร ก็ใช้ควบคุมวงโคจรของดาวเทียมเพื่อให้อยู่ในวงโคจร ซึ่งจะช่วยส่งผลต่อการส่งสัญญาณให้ระบบการสื่อสารมีความชัดเจน
        5.งานวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม สถาปนิกและวิศวกรสามารถใช้คอมพิวเตอร์ในการออกแบบ หรือ จำลองสภาวการณ์ ต่างๆ เช่น การรับแรง สั่นสะเทือนของอาคารเมื่อเกิดแผ่นดินไหว โดยคอมพิวเตอร์จะคำนวณ และแสดงภาพสถาน การณ์ใกล้เคียงความจริง รวมทั้งการใช้ควบคุมและติดตามความก้าวหน้าของโครงการ ต่างๆ เช่น คนงาน เครื่องมือ ผลการทำงาน
      6.งานราชการ เป็นหน่วยงานที่มีการใช้คอมพิวเตอร์มากที่สุด โดยมีการใช้หลายรูปแบบ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบทบาท และหน้าที่ของหน่วยงานนั้นๆ เช่น กระทรวงศึกษาธิการ มีการใช้ระบบประชุมทางไกลผ่านคอมพิวเตอร์ , กระทรวง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้จัดระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อเชื่อมโยงไปยังสถาบันต่างๆ , กรมสรรพากร ใช้จัดในการจัดเก็บภาษี บันทึกการเสียภาษี เป็นต้น
        7. การศึกษา ได้แก่ การใช้คอมพิวเตอร์ทางด้านการเรียนการสอน ซึ่งมีการนำคอมพิวเตอร์มา ช่วยการสอนในลักษณะ บทเรียน CAI หรืองานด้านทะเบียน ซึ่งทำให้สะดวกต่อการค้นหาข้อมูลนักเรียน การเก็บข้อมูลยืมและการส่งคืนหนังสือห้องสมุด
 
 ข้อมูลจาก หมวดวิชาคอมพิวเตอร์ โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย และ http://web.ku.ac.th/schoolnet/

ประเภทของคอมพิวเตอร์



การจำแนกคอมพิวเตอร์ตามลักษณะวิธีการทำงานภายในเครื่องคอมพิวเตอร์อาจแบ่งได้เป็นสองประเภทใหญ่ ๆ คือ
แอนะล็อกคอมพิวเตอร์ (analog computer)
          เป็นเครื่องคำนวณอิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่ได้ใช้ค่าตัวเลขเป็นหลักของการคำนวณ แต่จะใช้ค่าระดับแรงดันไฟฟ้าแทน ไม้บรรทัดคำนวณ อาจถือเป็นตัวอย่างหนึ่งของแอนะล็อกคอมพิวเตอร์ ที่ใช้ค่าตัวเลขตามแนวความยาวไม้บรรทัดเป็นหลักของการคำนวณ โดยไม้บรรทัดคำนวณจะมีขีดตัวเลขกำกับอยู่ เมื่อไม้บรรทัดหลายอันมรประกบรวมกัน การคำนวณผล เช่น การคูณ จะเป็นการเลื่อนไม้บรรทัดหนึ่งไปตรงตามตัวเลขของตัวตั้งและตัวคูณของขีดตัวเลขชุดหนึ่ง แล้วไปอ่านผลคูณของขีดตัวเลขอีกชุดหนึ่งแอนะล็อกคอมพิวเตอร์แบบอิเล็กทรอนิกส์จะใช้หลักการทำนองเดียวกัน โดยแรงดันไฟฟ้าจะแทนขีดตัวเลขตามแนวยาวของไม้บรรทัด
          แอนะล็อกคอมพิวเตอร์จะมีลักษณะเป็นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่แยกส่วนทำหน้าที่เป็นตัวกระทำและเป็นฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์ จึงเหมาะสำหรับงานคำนวณทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมที่อยู่ในรูปของสมการคณิตศาสตร์ เช่น การจำลองการบิน การศึกษาการสั่งสะเทือนของตึกเนื่องจากแผ่นดินไหว ข้อมูลตัวแปรนำเข้าอาจเป็นอุณหภูมิความเร็วหรือความดันอากาศ ซึ่งจะต้องแปลงให้เป็นค่าแรงดันไฟฟ้า เพื่อนำเข้าแอนะล็อกคอมพิวเตอร์ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาเป็นแรงดันไฟฟ้าแปรกับเวลาซึ่งต้องแปลงกลับไปเป็นค่าของตัวแปรที่กำลังศึกษา
          ในปัจจุบันไม่ค่อยพบเห็นแอนะล็อกคอมพิวเตอร์เท่าไรนักเพราะผลการคำนวณมีความละเอียดน้อย ทำให้มีขีดจำกัดใช้ได้กับงานเฉพาะบางอย่างเท่านั้น 
  
ดิจิทัลคอมพิวเตอร์ (digital computer)
          คอมพิวเตอร์ที่พบเห็นทั่วไปในปัจจุบัน จัดเป็นดิจิทัลคอมพิวเตอร์แทบทั้งหมด ดิจิทัลคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องคำนวณอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้งานเกี่ยวกับตัวเลข มีหลักการคำนวณที่ไม่ใช่แบบไม้บรรทัดคำนวณ แต่เป็นแบบลูกคิด โดยแต่และหลักของลูกคิดคือ หลักหน่วย หลักร้อย และสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ เป็นระบบเลขฐานสินที่แทนตัวเลขจากศูนย์ถ้าเก้าไปสิบตัวตามระบบตัวเลขที่ใช้ในชีวิตประจำวัน
          ค่าตัวเลขของการคำนวณในดิจิทัลคอมพิวเตอร์จะแสดงเป็นหลักเช่นเดียวกัน แต่จะเป็นระบบเลขฐานสองที่มีสัญลักษณ์ตัวเลขเพียงสองตัว คือเลขศูนย์กับเลขหนึ่งเท่านั้น โดยสัญลักษณ์ตัวเลขทั้งสองตัวนี้ จะแทนลักษณะการทำงานภายในซึ่งเป็นสัญญาณไฟฟ้าที่ต่างกัน การคำนวณภายในดิจิทัลคอมพิวเตอร์จะเป็นการประมวลผลด้วยระบบเลขฐานสองทั้งหมด ดังนั้นเลขฐานสิบที่เราใช้และคุ้นเคยจะถูกแปลงไปเป็นระบบเลขฐานสองเพื่อการคำนวณภายในคอมพิวเตอร์ ผลลัพธ์ที่ได้ก็ยังเป็นเลขฐานสองอยู่ ซึ่งคอมพิวเตอร์จะแปลงเป็นเลขฐานสิบเพื่อแสดงผลให้ผู้ใช้เข้าใจได้ง่าย  


องค์ประกอบของคอมพิวเตอร์



1.ฮาร์ดแวร์
          หมายถึง อุปกรณ์ต่างๆ ที่ประกอบขึ้นเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ มีลักษณะเป็นโครงร่างสามารถมองเห็นด้วยตาและสัมผัสได้ (รูปธรรม)7 เช่น จอภาพ คีย์บอร์ด เครื่องพิมพ์ เมาส์ เป็นต้น ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นส่วนต่างๆ ตามลักษณะการทำงาน ได้ 4 หน่วย คือ หน่วยรับข้อมูล (Input Unit) หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit : CPU) หน่วยแสดงผล (Output Unit) หน่วยเก็บข้อมูลสำรอง (Secondary Storage) โดยอุปกรณ์แต่ละหน่วยมีหน้าที่การทำงานแตกต่างกัน ดังภาพ
2. ซอฟท์แวร์ 
          หมายถึง ส่วนที่มนุษย์สัมผัสไม่ได้โดยตรง (นามธรรม) เป็นโปรแกรมหรือชุดคำสั่ง ที่ถูกเขียนขึ้นเพื่อ สั่งให้เครื่อง คอมพิวเตอร์ทำงาน ซอฟต์แวร์จึงเป็นเหมือนตัวเชื่อมระหว่างผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์และเครื่องคอมพิวเตอร์ ถ้าไม่มีซอฟต์แวร์เรา ก็ไม่สามารถใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำอะไรได้เลย ซอฟต์แวร์สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์สามารถแบ่งออกได้เป็น
          2.1 ซอฟต์แวร์สำหรับระบบ (System Software)
          คือ ชุดของคำสั่งที่เขียนไว้เป็นคำสั่งสำเร็จรูป ซึ่งจะทำงานใกล้ชิดกับคอมพิวเตอร์มากที่สุด เพื่อคอยควบคุมการ ทำงาน ของฮาร์ดแวร์ทุกอย่าง และอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ในการใช้งาน ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมระบบที่รู้จักกันดีก็คือ DOS, Windows, Unix, Linux รวมทั้งโปรแกรมแปลคำสั่งที่เขียนในภาษาระดับสูง เช่น ภาษา Basic, Fortran, Pascal, Cobol, C เป็นต้น นอกจากนี้โปรแกรมที่ใช้ในการตรวจสอบระบบเช่น Norton’s Utilities ก็นับเป็นโปรแกรมสำหรับระบบด้วยเช่นกัน
          2.2 ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software)
          คือ ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมที่นำมาให้คอมพิวเตอร์ทำงานต่างๆ ตามที่ผู้ใช้ต้องการ ไม่ว่าจะด้านเอกสาร บัญชี การจัดเก็บ ข้อมูล เป็นต้น ซอฟต์แวร์ประยุกต์สามารถจำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ
               2.1.1 ซอฟต์แวร์สำหรับงานเฉพาะด้าน คือ โปรแกรมซึ่งเขียนขึ้นเพื่อการทำงานเฉพาะอย่างที่เราต้องการ บางที่เรียกว่า User’s Program เช่น โปรแกรมการทำบัญชีจ่ายเงินเดือน โปรแกรมระบบเช่าซื้อ โปรแกรมการทำสินค้าคงคลัง เป็นต้น ซึ่งแต่ละ โปรแกรม ก็มักจะมีเงื่อนไข หรือแบบฟอร์มแตกต่างกันออกไปตามความต้องการ หรือกฏเกณฑ์ของ แต่ละหน่วยงาน ที่ใช้ ซึ่งสามารถ ดัดแปลงแก้ไขเพิ่มเติม (Modifications) ในบางส่วนของโปรแกรมได้ เพื่อให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ และ ซอฟต์แวร์ประยุกต์ที่เขียน ขึ้นนี้โดยส่วนใหญ่มักใช้ภาษาระดับสูงเป็นตัวพัฒนา
               2.1.2 ซอฟต์แวร์สำหรับงานทั่วไป เป็นโปรแกรมประยุกต์ที่มีผู้จัดทำไว้ เพื่อใช้ในการทำงานประเภทต่างๆ ทั่วไป โดย ผู้ใช้คนอื่นๆ สามารถนำโปรแกรมนี้ไปประยุกต์ใช้กับข้อมูลของตนได้ แต่จะไม่สามารถทำการดัดแปลง หรือแก้ไขโปรแกรมได้ ผู้ใช้ไม่จำ เป็นต้องเขียนโปรแกรมเอง ซึ่งเป็นการประหยัดเวลา แรงงาน และค่าใช้จ่ายในการเขียนโปรแกรม นอกจากนี้ ยังไม่ต้อง เวลามากในการฝึกและปฏิบัติ ซึ่งโปรแกรมสำเร็จรูปนี้ มักจะมีการใช้งานในหน่วยงานเรา ขาดบุคลากร ที่มีความชำนาญ เป็นพิเศษ ในการเขียนโปรแกรม ดังนั้น การใช้โปรแกรมสำเร็จรูปจึงเป็นสิ่งที่อำนวยความสะดวก และเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ตัวอย่างโปรแกรม สำเร็จรูปที่นิยมใช้ได้แก่ MS-Office, Lotus, Adobe Photoshop, SPSS, Internet Explorer และ เกมส์ต่างๆ เป็นต้น
3.บุคลากร(people ware)          หมายถึง บุคลากรในงานด้านคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ สามารถใช้งาน สั่งงานเพื่อ ให้คอมพิวเตอร์ทำงาน ตามที่ต้องการ แบ่งออกได้ 4 ระดับ ดังนี้
          3.1 ผู้จัดการระบบ (System Manager)
คือ ผู้วางนโยบายการใช้คอมพิวเตอร์ให้เป็นไปตามเป้าหมายของหน่วยงาน
          3.2 นักวิเคราะห์ระบบ (System Analyst)
คือ ผู้ที่ศึกษาระบบงานเดิมหรืองานใหม่และทำการวิเคราะห์ความเหมาะสม ความเป็นไปได้ในการใช้คอมพิวเตอร์กับระบบงาน เพื่อให้โปรแกรมเมอร์เป็นผู้ที่เขียนโปรแกรมให้กับระบบงาน
          3.3 โปรแกรมเมอร์ (Programmer)
คือ ผู้เขียนโปรแกรมสั่งงานเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อให้ทำงานตามความต้องการของผู้ใช้ โดยเขียนตาม แผนผังที่นักวิเคราะห์ ระบบได้เขียนไว้
          3.4 ผู้ใช้ (User)
 คือ ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ทั่วไป ซึ่งต้องเรียนรู้วิธีการใช้เครื่อง และวิธีการใช้งานโปรแกรม เพื่อให้โปรแกรม ที่มีอยู่สามารถทำงานได้ตามที่ต้องการเนื่องจากเป็นผู้กำหนดโปรแกรมและใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ มนุษย์จึงเป็น ตัวแปรสำคัญในอันที่จะทำให้ผลลัพธ์มีความน่าเชื่อถือ เนื่องจากคำสั่งและข้อมูลที่ใช้ในการประมวลผล ได้รับจากการ กำหนดของมนุษย์ (Peopleware) ทั้งสิ้น
4. ข้อมูล(data)          ข้อมูลเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งในระบบคอมพิวเตอร์ เป็นสิ่งที่ต้องป้อนเข้าไปในคอมพิวเตอร์ พร้อมกับ โปรแกรมที่นักคอมพิวเตอร์เขียน ขึ้นเพื่อผลิตผลลัพธ์ที่ต้องการออกมา ข้อมูลที่สามารถนำมาใช้กับคอมพิวเตอร์ได้ มี 5 ประเภท คือ ข้อมูลตัวเลข (Numeric Data) ข้อมูลตัวอักษร (Text Data) ข้อมูลเสียง (Audio Data) ข้อมูลภาพ (Images Data) และข้อมูลภาพเคลื่อนไหว (Video Data)

 

หลักการทำงานของคอมพิวเตอร์



          คอมพิวเตอร์ไม่ว่าจะเป็นประเภทใดก็ตาม จะมีลักษณะการทำงานของส่วนต่างๆที่มีความสัมพันธ์กัน เป็นกระบวนการ โดยมีองค์ประกอบพื้นฐานหลักคือ Input   Process และ output
ขั้นตอนที่ 1 : รับข้อมูลเข้า (Input)
        เริ่มต้นด้วยการนำข้อมูลเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งสามารถผ่านทางอุปกรณ์ชนิดต่างๆ แล้วแต่ชนิดของข้อมูลที่จะป้อนเข้าไป เช่น ถ้าเป็นการพิมพ์ข้อมูลจะใช้แผงแป้นพิมพ์ (Keyboard) เพื่อพิมพ์ข้อความหรือโปรแกรมเข้าเครื่อง ถ้าเป็นการเขียนภาพจะใช้เครื่องอ่านพิกัดภาพกราฟิค (Graphics Tablet) โดยมีปากกาชนิดพิเศษสำหรับเขียนภาพ หรือถ้าเป็นการเล่นเกมก็จะมีก้านควบคุม (Joystick) สำหรับเคลื่อนตำแหน่งของการเล่นบนจอภาพ เป็นต้น
ขั้นตอนที่ 2 : ประมวลผลข้อมูล (Process)
        เมื่อนำข้อมูลเข้ามาแล้ว เครื่องจะดำเนินการกับข้อมูลตามคำสั่งที่ได้รับมาเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ การประมวลผลอาจจะมีได้หลายอย่าง เช่น นำข้อมูลมาหาผลรวม นำข้อมูลมาจัดกลุ่มนำข้อมูลมาหาค่ามากที่สุด หรือน้อยที่สุด เป็นต้น
ขั้นตอนที่ 3 : แสดงผลลัพธ์ (Output)
        เป็นการนำผลลัพธ์จากการประมวลผลมาแสดงให้ทราบทางอุปกรณ์ที่กำหนดไว้ โดยทั่วไปจะแสดงผ่านทางจอภาพ หรือเรียกกันโดยทั่วไปว่า "จอมอนิเตอร์" (Monitor) หรือจะพิมพ์ข้อมูลออกทางกระดาษโดยใช้เครื่องพิมพ์ก็ได้.



ลักษณะเด่นของคอมพิวเตอร์



เครื่องคอมพิวเตอร์ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้มีจุดเด่น 4 ประการ เพื่อทดแทนข้อจำกัดของมนุษย์ เรียกว่า 4 S special ดังนี้
1. หน่วยเก็บ (Storage)         หมายถึง ความสามารถในการเก็บข้อมูลจำนวนมากและเป็นเวลานาน นับเป็นจุดเด่นทางโครงสร้าง และเป็นหัวใจของการทำงานแบบอัตโนมัติของเครื่องคอมพิวเตอร์ ทั้งเป็นตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องด้วย
2. ความเร็ว (Speed)         หมายถึง ความสามารถในการประมวลผลข้อมูล (Processing Speed) โดยใช้เวลาน้อย เป็นจุดเด่นทาง โครงสร้างที่ผู้ใช้ทั่วไปมีส่วนเกี่ยวข้องน้อยที่สุด เป็นตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพ ของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สำคัญส่วนหนึ่งเช่นกัน
3. ความเป็นอัตโนมัติ (Self Acting)         หมายถึง ความสามารถในการประมวลผลข้อมูลตามลำดับขั้นตอนได้อย่างถูกต้องและต่อเนื่องอย่างอัตโนมัติ โดยมนุษย์มีส่วนเกี่ยวข้องเฉพาะในขั้นตอนการกำหนดโปรแกรมคำสั่งและข้อมูลก่อนการประมวลผลเท่านั้น
4. ความน่าเชื่อถือ (Sure)        หมายถึง ความสามารถในการประมวลผลให้เกิดผลลัพธ์ที่ถูกต้อง ความน่าเชื่อถือนับเป็นสิ่งสำคัญ ที่สุดในการทำงาน ของเครื่องคอมพิวเตอร์ ความสามารถนี้เกี่ยวข้อง กับโปรแกรมคำสั่งและข้อมูล ที่มนุษย์กำหนด ให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์โดยตรง กล่าวคือ หากมนุษย์ป้อนข้อมูล ที่ไม่ถูกต้องให้กับ เครื่องคอมพิวเตอร์ก็ย่อม ได้ผลลัพธ์ที่ไม่ถูกต้องด้วยเช่นกัน
   แหล่งอ้างอิงที่มา 
  • http://guru.sanook.com/4145/
  • https://www.gotoknow.org/posts/492001

ประเภทของเกม

ก่อนการสร้างเกมเราควรกำหนดแนวทางว่าจะทำเกมออกมาในกลุ่มของเกมใด ซึ่งเป็นตัวกำหนดกลุ่มเป้าหมายของผู้เล่น เพื่อเป็นแนวในการกำหนดเทคโนโลยีและเกมเอนจิ้นที่จะนำมาใช้งาน
ประเภทและชนิดของเกมส์ มีดังนี้
1.เกมส์เลียนแบบหรือการจำลอง (Simulation Games) เช่น SIMS  ซึ่งเป็น เกมส์ที่พยายามเลียนแบบเหตุการณ์จริง เพื่อพัฒนาทักษะของผู้เล่น เช่น การฝึกบินจำลอง การขับรถจำลอง ตัวอย่างเกมประเภทนี้ คือ Flight SIM
2.เกมส์แอคชั่นแบบ FPS(Action First Person Shooters Games) เป็นเกมส์ ยิงปืนที่ผู้เล่นเป็นตัวเอกไล่ยิงผู้ร้าย ไปจนถึงสัตว์ประหลาดต่างๆ
ตามระดับการเล่น  มีทั้งเล่นแบบคนเดียวและเล่นเป็นกลุ่ม ตัวอย่างเกมส์ประเภทนี้ได้แก่ Doom,Half-Life,Quake III
3.เกมส์ผจญภัย (Adventure Games) มีวัตถุประสงค์ของเกมส์เพื่อทำภารกิจให้สำเร็จในดินแดนที่สร้างขึ้น ต้องแก้ไขปัญหาหรือหาสิ่งจำเป็นในระดับของเกมที่แตกต่างกันไป เช่น หากุญแจเพื่อไขเปิดห้องลับเพื่อไปหยิบอาวุธ  เกมส์ประเภทนี้ได้แก่ Myst ,Zelda
4.เกมส์ RPG (Role-Playing) เป็นเกมส์ที่ผู้เล่นสามารถสร้างหรือเลือก character ของตัวละครให้ตรงกับความชอบของตัวเอง แล้วเล่นไปตามเนื้อเรื่องของเกมส์ ตัวอย่างเกมประเภทนี้ ได้แก่ Racknaroc,Diablo II
5.เกมส์ต่อสู้ (Fighting Game) เป็นเกมส์ต่อสู้กันโดยมีตัวละครต่อสู้กันแบบตัวต่อตัว ด้วยเทคนิคการต่อสู้เฉพาะตัว  ตัวอย่างเกมส์ประเภทนี้ ได้แก่ Mortal Kombat,Boxing
6.เกมส์วางแผน (Strategy Games)  เกมส์ที่ใช้ความคิด นำกลยุทธ์มาใช้เพื่อเอาชนะ เกมส์มีเรื่องราวเป็นนิทาน หรือตำนาน มีตัวละครนำและการผูกเรื่องเข้ากับการต่อสู้และวางแผนในเกมส์  ตัวอย่างเกมประเภทนี้ ได้แก่ checkers,Age of Mythology
7.เกมส์ปริศนา (Puzzle Game) เกมส์แก้ปัญหาให้ลุล่วงตามจุดประสงค์หลักของเกมส์ เช่น Tetris(เกมตัวต่อ นั่นเอง)
8.เกมส์กีฬาและการแข่งขัน (Sport & Racing Games) วัตถุประสงค์ของเกมส์เพื่อการเป็นที่หนึ่งของการแข่งขัน เช่น
แข่งรถ แข่งฟุตบอล เช่น FIFA Soccer 

ขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก : สุวัฒนา พรหมสุวรรณ์